วิธีการปลูกกาแฟอราบิก้าให้ได้ผลผลิตสูง

วิธีการปลูกกาแฟอราบิก้าให้ได้ผลผลิตสูง

สารบัญ

กาแฟอราบิก้าเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของไทย ที่สามารถสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกได้เป็นอย่างดี แต่การจะปลูกกาแฟอราบิก้าให้ประสบความสำเร็จและให้ผลผลิตสูงนั้น จำเป็นต้องเข้าใจเทคนิคและขั้นตอนต่างๆ ในการปลูกและดูแลรักษา 

 

การเลือกพื้นที่ปลูกกาแฟอราบิก้าที่เหมาะสม

การเลือกพื้นที่ปลูกกาแฟอราบิก้าที่เหมาะสม เป็นปัจจัยสำคัญอันดับแรกที่จะส่งผลให้การปลูกกาแฟประสบความสำเร็จและได้ผลผลิตที่ดี ทั้งปริมาณและคุณภาพ โดยลักษณะของพื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับปลูกกาแฟอราบิก้า ควรมีดังนี้ 

1. ความสูงของพื้นที่ : กาแฟอราบิก้าเจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่ภูเขาสูง โดยพื้นที่ปลูกที่เหมาะสมควรมีความสูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 800-1,500 เมตร ยิ่งมีความสูงมากเท่าไรก็จะยิ่งได้กาแฟที่มีคุณภาพดีมากขึ้น

2. อุณหภูมิ : สภาพอากาศที่เหมาะสมสำหรับการปลูกกาแฟ คือ มีอุณหภูมิเฉลี่ยตลอดทั้งปีอยู่ระหว่าง 15-25 องศาเซลเซียส หากอุณหภูมิต่ำกว่า 10 องศา จะทำให้กาแฟชะงักการเจริญเติบโต ส่วนหากอุณหภูมิสูงกว่า 30 องศา ก็จะทำให้ดอกกาแฟร่วงหล่นได้

3. ความชื้นสัมพัทธ์ : กาแฟต้องการความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศสูงกว่า 60% ตลอดทั้งปี ซึ่งความชื้นจะช่วยการเจริญเติบโตและการพัฒนาผลผลิตของกาแฟ

4.ปริมาณน้ำฝน : ปริมาณน้ำฝนที่เหมาะสมสำหรับกาแฟอราบิก้าควรได้รับไม่ต่ำกว่า 1,200 – 1,800 มิลลิเมตรต่อปี และมีการกระจายตัวสม่ำเสมอ โดยฝนที่ตกหนักติดต่อกันหลายวันจะทำให้ต้นกาแฟชะงักการเจริญเติบโต หรืออาจหยุดการออกดอกติดผลได้

5.ลักษณะของดิน : กาแฟชอบดินร่วนซุย มีการระบายน้ำดี มีความอุดมสมบูรณ์ของธาตุอาหารสูง ไม่มีปัญหาดินเปรี้ยวจัด หรือดินด่าง ค่าความเป็นกรดเป็นด่างของดินควรอยู่ระหว่าง 5.5 – 6.5 และดินควรมีความลึกไม่ต่ำกว่า 1 เมตร

6.สภาพภูมิประเทศ : พื้นที่ปลูกกาแฟไม่ควรเป็นที่ราบลุ่มน้ำขัง มีความลาดชันไม่เกิน 30 องศา และมีทิศด้านลาดเอียงรับแสงแดดทางด้านทิศตะวันออกหรือทิศเหนือ เพื่อไม่ให้ต้นกาแฟได้รับแสงแดดที่จัดเกินไปจนทำให้ใบไหม้ได้

นอกจากนี้ การสำรวจพื้นที่และวิเคราะห์ดินก่อนปลูก ก็มีส่วนช่วยให้ทราบถึงความเหมาะสมและศักยภาพของพื้นที่ในการปลูกกาแฟได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นข้อมูลสำคัญในการวางแผนการผลิตและการลงทุนปลูกกาแฟในระยะยาว เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าและยั่งยืน

การคัดเลือกพันธุ์กาแฟที่ดีและเหมาะสม

การคัดเลือกพันธุ์กาแฟที่ดีและเหมาะสม เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่จะทำให้การปลูกกาแฟประสบความสำเร็จ เพราะแต่ละพันธุ์จะมีลักษณะเด่น ข้อจำกัด และความต้องการปัจจัยแวดล้อมที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้นเกษตรกรจึงควรเลือกพันธุ์กาแฟให้เหมาะกับสภาพพื้นที่และตรงกับความต้องการของตลาด โดยลักษณะของพันธุ์กาแฟที่ดีควรมีดังนี้ 

1. ให้ผลผลิตสูงสม่ำเสมอ : เป็นพันธุ์ที่ให้ปริมาณผลผลิตสูงอย่างสม่ำเสมอในแต่ละปี มีความสามารถในการสร้างกิ่งก้านและผลผลิตใหม่ทดแทนของเดิมที่หมดไปได้อย่างต่อเนื่อง

2. คุณภาพของผลผลิตดี : ผลกาแฟมีขนาดใหญ่สม่ำเสมอ เปลือกหุ้มเมล็ดบาง กะลาแข็งแรง เนื้อในเมล็ดกาแฟมีสีสม่ำเสมอ มีปริมาณของแข็งที่ละลายน้ำได้สูง และมีกลิ่นรสที่ดี ซึ่งจะทำให้ได้ราคาดีเมื่อนำไปจำหน่าย

3. ต้านทานต่อโรคและแมลง : เพื่อลดความเสียหายจากการทำลายของโรคและแมลงที่สำคัญ เช่น โรคราสนิม หนอนเจาะลำต้น และเพลี้ยหอย เป็นต้น ซึ่งหากเลือกปลูกพันธุ์ต้านทานได้ ก็จะช่วยลดต้นทุนการดูแลรักษาได้มาก

4. ทนต่อสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม : เช่น ทนต่ออากาศร้อนหรือหนาวเย็น ทนต่อสภาพฝนทิ้งช่วง ทนต่อดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ เป็นต้น ซึ่งจะทำให้สามารถปลูกได้ในพื้นที่ที่มีข้อจำกัด และเสี่ยงน้อยลง

5. มีการเจริญเติบโตที่ดี : ต้นกาแฟมีความแข็งแรง ทรงพุ่มที่สมบูรณ์ ลำต้นตรง ไม่ล้มง่าย มีการแตกกิ่งก้านและใบที่เหมาะสม ซึ่งจะทำให้ต้นกาแฟได้รับแสงอย่างทั่วถึง สามารถสังเคราะห์แสงและให้ผลผลิตได้ดี

พันธุ์กาแฟอราบิก้าที่นิยมปลูกและแนะนำสำหรับเกษตรกรไทย ได้แก่ พันธุ์ Catimor, Catuai, Caturra และ Typica ซึ่งเป็นพันธุ์ที่ผ่านการปรับปรุงและคัดเลือกมาเป็นอย่างดีจากหน่วยงานวิจัยทางการเกษตร โดยมีจุดเด่นทั้งในด้านผลผลิต คุณภาพ และการต้านทานโรค

อย่างไรก็ตาม ก่อนตัดสินใจเลือกพันธุ์กาแฟมาปลูก เกษตรกรควรสอบถามและศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม จากหน่วยงานวิชาการ เจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตร หรือเกษตรกรที่ประสบความสำเร็จในพื้นที่ เพื่อให้ได้พันธุ์ที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและตลาดมากที่สุด นอกจากนี้ยังควรตรวจสอบแหล่งที่มาของพันธุ์กาแฟ ให้มั่นใจว่าเป็นแหล่งที่น่าเชื่อถือ เพื่อป้องกันปัญหาพันธุ์ปลอมที่อาจส่งผลเสียหายต่อการปลูกในอนาคตด้วย

การเพาะเมล็ดกาแฟให้ได้ต้นกล้าที่แข็งแรงสมบูรณ์

การเพาะเมล็ดกาแฟให้ได้ต้นกล้าที่แข็งแรงสมบูรณ์ เป็นขั้นตอนที่สำคัญมากในกระบวนการผลิตกาแฟ เพราะจะส่งผลต่อการเจริญเติบโตและให้ผลผลิตที่ดีของต้นกาแฟในอนาคต ดังนั้นเกษตรกรจึงจำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจในวิธีการเพาะกล้ากาแฟที่ถูกต้อง ซึ่งมีขั้นตอนโดยสรุปดังนี้ 

 
วิธีการปลูกกาแฟอราบิก้าให้ได้ผลผลิตสูง

1. การเลือกเมล็ดพันธุ์ : ควรเลือกเมล็ดพันธุ์กาแฟจากแหล่งที่เชื่อถือได้ มีอายุไม่เกิน 1 ปี ผลสุกเต็มที่ มีขนาดใหญ่และสมบูรณ์ ปราศจากโรคแมลง เพื่อให้ได้เมล็ดพันธุ์ที่มีคุณภาพดีและมีความงอกสูง

2. การเตรียมเมล็ดก่อนเพาะ : นำเมล็ดกาแฟแช่น้ำ 1 คืน แล้วล้างน้ำให้สะอาด คัดแยกเอาเมล็ดที่ลอยน้ำซึ่งเป็นเมล็ดลีบและไม่สมบูรณ์ออกไป จากนั้นนำเมล็ดไปแช่ในสารละลายป้องกันเชื้อรา เช่น เมทาแลกซิล อัตรา 6 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร นาน 30 นาที

3. การเตรียมแปลงเพาะ : เตรียมกระบะหรือแปลงเพาะขนาดกว้าง 1-1.2 เมตร ยาวตามพื้นที่ ลึก 15-20 ซม. โดยรองก้นด้วยกรวดหรือขี้เถ้าแกลบ เพื่อช่วยระบายน้ำ แล้วใส่วัสดุปลูก เช่น ทรายละเอียดผสมขุยมะพร้าว ให้มีความหนา 10 ซม.

4. การหว่านเมล็ด : ใช้ไม้ปลายแหลมขีดเป็นร่องลึก 1-2 ซม. แล้วหว่านเมล็ดกาแฟลงไปให้กระจายอย่างสม่ำเสมอ ระยะห่างระหว่างแถว 5-10 ซม. โดยควรหว่านในตอนเย็นหรือมีแสงแดดอ่อนๆ ให้เมล็ดงอกได้ง่ายขึ้น

5. การดูแลรักษา : หลังหว่านเมล็ดเสร็จ ใช้ฟางหรือใบตองคลุมแปลงเพาะไว้ เพื่อควบคุมความชื้นและอุณหภูมิให้เหมาะสมต่อการงอก รดน้ำเช้าเย็นวันละ 2 ครั้ง ระวังอย่าให้แฉะเกินไป ใช้เวลา 50-60 วัน เมล็ดจะเริ่มงอกและเป็นต้นกล้าระยะใบเลี้ยง (ระยะ Solider)

6. การย้ายกล้าลงถุง : เมื่อต้นกล้ามีใบจริง 1 คู่ (ระยะ Butterfly) ให้ย้ายลงปลูกในถุงดำเจาะรูขนาด 2×6 นิ้ว ที่ผสมดินและปุ๋ยอินทรีย์แล้ว นำไปวางเรียงในโรงเรือนหรือที่ร่ม 50-70% รดน้ำและดูแลจนต้นกล้ามีอายุ 6-8 เดือน มีความสูง 30-40 ซม. ใบสมบูรณ์ 6-8 คู่ พร้อมย้ายปลูกลงแปลง

นอกจากนี้ สิ่งสำคัญอีกอย่างในการเพาะกล้ากาแฟ คือ การเลือกช่วงเวลาที่เหมาะสม โดยควรเพาะในช่วงฤดูฝนหรือมีแหล่งน้ำให้เพียงพอ เพื่อให้ต้นกล้าสามารถเจริญเติบโตได้ตามปกติ การเตรียมวัสดุอุปกรณ์ให้พร้อมก่อนดำเนินการ การป้องกันกำจัดโรคแมลงศัตรูกาแฟที่อาจเข้าทำลายตั้งแต่อยู่ในแปลงเพาะ รวมถึงการคัดเลือกแต่ต้นกล้าที่แข็งแรงสมบูรณ์ไปปลูกเท่านั้น

การดูแลต้นกล้ากาแฟในถุงเพาะชำอย่างถูกต้องและเหมาะสม

การดูแลต้นกล้ากาแฟในถุงเพาะชำอย่างถูกต้องและเหมาะสม จะช่วยให้ต้นกล้ามีความแข็งแรง สมบูรณ์ มีระบบรากและทรงพุ่มที่ดี พร้อมสำหรับการย้ายปลูกลงแปลง ซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญของการเจริญเติบโตและให้ผลผลิตที่ดีของต้นกาแฟในอนาคต โดยมีแนวทางในการดูแลรักษา ดังนี้ 

1. การให้น้ำ : รดน้ำให้ต้นกล้าอย่างสม่ำเสมอวันละ 1-2 ครั้ง ในปริมาณที่พอเหมาะ ไม่ให้แฉะหรือแห้งจนเกินไป ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศและการระเหยน้ำในแต่ละวัน โดยสังเกตความชื้นที่ผิวดินในถุง หากแห้งให้รีบรด แต่หากยังชื้นดีอยู่ก็ชะลอการรดน้ำไปก่อน

2. การให้ปุ๋ย : เมื่อต้นกล้ามีอายุ 1 เดือนขึ้นไป ให้ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 21-21-21 หรือ 15-15-15 อัตรา 1 ช้อนชาต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นบนต้นกล้าหรือราดลงบนดินในถุง ในช่วงเช้าหรือเย็น ทุก 7-10 วัน เพื่อเร่งการเจริญเติบโตของลำต้นและใบ

3. การจัดวางถุงกล้า : วางถุงกล้ากาแฟเรียงกันในโรงเรือนหรือบริเวณที่มีร่มเงา 50-70% โดยมีระยะห่างพอสมควร ให้ต้นกล้าไม่แคบหรืออัดกันเกินไป เพื่อให้แสงแดดส่องถึง มีการถ่ายเทอากาศที่ดี และสะดวกในการดูแลรดน้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ย

4. การป้องกันกำจัดโรคแมลง : หมั่นสำรวจและสังเกตต้นกล้ากาแฟอย่างสม่ำเสมอ หากพบโรคแมลงเข้าทำลาย เช่น หนอนชอนใบ เพลี้ยหอย ไรแดง หรือโรคราสนิม ให้รีบกำจัดทันทีด้วยวิธีการที่เหมาะสม เช่น ตัดแต่งส่วนที่เป็นโรคทิ้ง พ่นสารเคมีกำจัด หรือใช้สารชีวภาพและสมุนไพรไล่แมลง เป็นต้น

5. การตัดแต่งต้นกล้า : เมื่อต้นกล้ามีอายุ 3-4 เดือน ให้ทำการตัดแต่งกิ่งแขนงที่ไม่จำเป็นหรือแย่งอาหารออกบ้าง โดยเน้นไปที่กิ่งกระโดง ทิ้งให้เหลือแต่ลำต้นเดี่ยวเพื่อสร้างโครงสร้างทรงพุ่มที่แข็งแรง และตัดรากที่ลอดออกมานอกถุงทิ้ง เพื่อกระตุ้นให้รากงอกใหม่และกระจายตัวสม่ำเสมอ

6. การคัดทิ้งต้นกล้าที่ไม่ดี : ต้นกล้าที่ผิดปกติ อ่อนแอ ทรุดโทรม หรือมีโรคแมลงรบกวนมากเกินไป ควรคัดแยกออกมาปลูกต่างหาก หรืออาจทำลายทิ้งเสีย เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดสู่ต้นกล้าอื่นๆ และเหลือแต่ต้นกล้าคุณภาพดีไว้ปลูกจริง

7. การฝึกต้นกล้าก่อนย้ายปลูก : เมื่อต้นกล้ามีอายุครบ 6-8 เดือน มีความสูง 30-50 ซม. ใบแก่ 8-10 คู่ ก็เริ่มทยอยย้ายต้นกล้าออกจากโรงเรือนมาวางในพื้นที่โล่ง ค่อยๆ ปรับให้ได้รับแสงแดดมากขึ้นเป็นลำดับ เพื่อให้ต้นแข็งแรง ทนทานต่อสภาพแวดล้อมภายนอกได้ดี ก่อนย้ายลงปลูกจริงในแปลง

การดูแลต้นกล้าในระยะเพาะชำนับเป็นงานที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง อดทน และต้องใช้เทคนิควิธีการที่ถูกต้อง แม้จะเป็นขั้นตอนที่ยุ่งยากซับซ้อน แต่ก็เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เพราะต้นกล้าที่ดีมีคุณภาพ จะเป็นหลักประกันผลผลิตที่ดีของสวนกาแฟในระยะยาว ดังนั้นเกษตรกรจึงควรให้ความสำคัญ และดูแลบำรุงต้นกล้าอย่างใกล้ชิดทุกขั้นตอน เพื่อความสำเร็จในการปลูกกาแฟต่อไป

การเตรียมหลุมปลูก

การเตรียมหลุมปลูกที่ถูกวิธี มีความสำคัญอย่างยิ่งในการปลูกกาแฟให้ประสบความสำเร็จ เพราะจะช่วยให้ต้นกาแฟมีที่ยึดเกาะ หยั่งรากลึก ดูดซับน้ำและธาตุอาหารได้ดี สามารถเจริญเติบโตได้อย่างมั่นคงแข็งแรง โดยขั้นตอนและวิธีการเตรียมหลุมปลูกขนาด 30x30x30 ซม. มีรายละเอียดดังนี้ 

1. กำหนดระยะปลูก : วางแนวและกำหนดตำแหน่งหลุมปลูกตามระยะที่เหมาะสมกับพื้นที่ เช่น ระยะ 2.5×2.5 ม. 3×3 ม. หรือ 2×3 ม. เป็นต้น โดยใช้เชือกหรือเทปวัดระยะ ขึงเป็นแนวตรงหรือฉากกัน แล้วใช้ปูนขาวหรือปักไม้หลักเป็นสัญลักษณ์บอกตำแหน่ง

2. ขุดหลุมปลูก : ใช้จอบหรือเครื่องมือมาตรฐานขุดหลุมตามจุดที่กำหนดไว้ ให้มีขนาดกว้างxยาวxลึก เท่ากับ 30x30x30 ซม. หรือประมาณ 1 ลูกบาศก์ฟุต ตักดินชั้นบนที่อุดมสมบูรณ์แยกไว้ด้านหนึ่ง ส่วนดินชั้นล่างเก็บไว้อีกด้าน เพื่อใช้ถมกลับหลังปลูกต้นกาแฟ

3. ตากหลุมปลูก : ตากดินในหลุมปลูกทิ้งไว้ประมาณ 15-30 วัน เพื่อให้แสงแดดช่วยฆ่าเชื้อโรคแมลงศัตรูพืชในดิน ช่วยระเหยความชื้นส่วนเกิน และปรับสภาพความเป็นกรดเป็นด่างของดินให้เหมาะสมกับการปลูกกาแฟมากขึ้น

4. ใส่ปุ๋ยรองก้นหลุม : ผสมปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก หรือขี้วัวแห้ง จำนวน 3-5 กก. ต่อหลุม กับปุ๋ยเคมีสูตร 0-3-0 หรือ 0-6-0 อัตรา 100-200 กรัมต่อหลุม คลุกเคล้าให้เข้ากันแล้วใส่ลงก้นหลุมปลูก เพื่อเพิ่มอินทรียวัตถุและฟอสฟอรัสให้กับดิน ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของรากกาแฟ

5. กลบหลุมปลูก : ตักดินชั้นบนที่แยกไว้ผสมกับดินผิวหน้าใหม่ แล้วกลบลงในหลุมปลูกจนเต็ม โดยอัดดินให้แน่น เกลี่ยผิวดินให้เรียบเสมอกัน เหลือไว้เป็นโคกขนาดเล็กสูงจากผิวดินประมาณ 15-20 ซม. เผื่อการยุบตัวลงภายหลังจากการรดน้ำ

6. ปักหลักค้ำ : ตัดไม้ไผ่หรือไม้เล็กยาวประมาณ 1-1.5 เมตร มาปักลงดินในหลุมปลูกให้ลึก เอียงทำมุม 45 องศา เพื่อใช้เป็นหลักผูกยึดต้นกล้ากาแฟให้ตั้งตรง ไม่ล้มเอียงเวลาลมแรง และป้องกันการชะล้างหน้าดินเวลาฝนตกหนัก

7. ใส่สารปรับปรุงดิน : ก่อนลงปลูกจริงอาจใส่สารปรับปรุงดินบางชนิดลงในหลุม เช่น ปูนขาว โดโลไมท์ ยิปซัม ซีโอไลต์ ฮิวมัส ฟอสเฟต ฯลฯ ในอัตรา 100-200 กรัมต่อหลุม เพื่อแก้ไขปัญหาความเป็นกรดหรือด่างของดิน เพิ่มธาตุอาหารหลัก ปรับโครงสร้างดิน และช่วยกักเก็บความชื้น

โดยทั่วไป การขุดหลุมปลูกกาแฟควรทำในช่วงฤดูแล้งก่อนเข้าฤดูฝน อย่างน้อย 1-2 เดือน เพื่อให้หลุมปลูกมีเวลาตากแดด เตรียมความพร้อมได้ดี และสอดคล้องกับช่วงเวลาย้ายกล้าลงแปลงที่เหมาะสมที่สุด หากขุดหลุมเตรียมไว้นานเกินไป ก็อาจทำให้สภาพดินในหลุมแน่นทึบ แฉะชื้น เกิดวัชพืชมาก ซึ่งจะเป็นอุปสรรคต่อการปลูกกาแฟในภายหลังได้

การเตรียมหลุมปลูกให้ถูกต้อง เหมาะสมกับขนาดและความต้องการของต้นกาแฟ จึงเป็นการสร้างรากฐานที่ดีให้กับสวนกาแฟ ทำให้ต้นกาแฟเจริญงอกงาม แข็งแรง มีภูมิต้านทานโรคแมลง และให้ผลผลิตได้ยาวนาน เป็นปัจจัยสำคัญยิ่งต่อความสำเร็จในการปลูกกาแฟทั้งในระยะสั้นและระยะยาวนั่นเอง  

การปลูกไม้ร่มเงาในสวนกาแฟ

การปลูกไม้ร่มเงาถาวรในสวนกาแฟเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ต้นกาแฟเจริญเติบโตได้ดี ให้ผลผลิตสูง และมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน เพราะไม้ร่มเงาจะช่วยปรับสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับการปลูกกาแฟ ทั้งการบังแสง ลดอุณหภูมิ เพิ่มความชื้น ป้องกันลมแรง รักษาหน้าดิน ตลอดจนเพิ่มรายได้พิเศษจากผลผลิตไม้ยืนต้น ดังนั้นจึงต้องมีหลักการปลูกไม้ร่มเงาที่ถูกต้อง เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ ดังนี้

1. การเลือกชนิดไม้ร่มเงา ควรเลือกไม้ร่มเงาที่มีลักษณะเด่นเหมาะกับการปลูกร่วมกับกาแฟ เช่น

  • ไม้ตระกูลถั่ว เช่น กระถิน สะตอ มะขามเทศ จามจุรี ช่วยตรึงไนโตรเจนในดิน
  • ไม้ผลัดใบ เช่น สะเดา ไผ่ ช่วยลดการใช้น้ำแข่งกับกาแฟในฤดูแล้ง
  • ไม้ทนแล้ง เช่น มะม่วงหิมพานต์ หูกวาง จำปา ทนต่อสภาพฝนทิ้งช่วงได้ดี
  • ไม้เศรษฐกิจ เช่น ยางพารา ไผ่ หมาก ให้ผลตอบแทนระยะยาว

2. การกำหนดระยะปลูก ให้เหมาะสมกับทรงพุ่มและการเจริญเติบโตของไม้แต่ละชนิด เช่น

  • ไม้ทรงพุ่มแผ่กว้าง เช่น ทองหลาง หมาก ระยะปลูก 12-15 เมตร
  • ไม้ทรงพุ่มแคบ เช่น กระถิน สะเดา ระยะปลูก 6-10 เมตร
  • ควรปลูกไม้ร่มเงาเป็นแถวขนานหรือตัดขวางกับทิศทางลม เพื่อลดแรงปะทะ

3. การตัดแต่งกิ่งไม้ร่มเงา ให้มีขนาดและรูปทรงที่เหมาะสม ไม่บังแสงต้นกาแฟมากเกินไป โดย

  • ทำการตัดแต่งปีละ 2-3 ครั้ง ในช่วงต้นและปลายฤดูฝน
  • โน้มกิ่งให้เอนเอียง ห่างจากทรงพุ่มกาแฟ เพื่อลดการแย่งแสงและน้ำ
  • คุมความสูงของไม้ร่มเงาไม่เกิน 8-12 เมตร เพื่อให้แสงผ่านลงมาถึงกาแฟได้

4. การควบคุมปริมาณร่มเงา ให้พอดีกับความต้องการแสงของกาแฟในแต่ละช่วงอายุ

  • กาแฟช่วงต้นกล้า ต้องการแสงร่มเงา 70-80%
  • กาแฟช่วงเริ่มให้ผลผลิต ต้องการแสงร่มเงา 50-60%
  • กาแฟช่วงให้ผลผลิตสูง ต้องการแสงร่มเงา 30-40%

5. การจัดการตอซังไม้ร่มเงา หลังจากตัดแต่งกิ่งแล้ว ควรนำกิ่งใบมาคลุมโคนต้นกาแฟ ใช้เป็นปุ๋ยพืชสด ทำปุ๋ยหมัก หรือสับย่อยคลุมดินบน แปลงปลูกกาแฟ เพื่อรักษาความชุ่มชื้น ปรับปรุงดิน และเพิ่มอินทรียวัตถุให้แก่ดิน ช่วยการเจริญเติบโตของต้นกาแฟ

6. การป้องกันโรคแมลงศัตรูพืช ที่อาจเกิดขึ้นจากการปลูกไม้ร่มเงา จึงควรเลือกชนิดไม้ที่ไม่อ่อนแอต่อโรคและแมลง หรือเป็นพืชอาศัยของศัตรูพืชที่สำคัญในกาแฟ หากจำเป็นต้องพ่นสารเคมีกำจัด ก็ควรเลือกสารที่มีพิษตกค้างน้อย ไม่เป็นอันตรายต่อต้นกาแฟ 

สรุปบทความ “วิธีการปลูกกาแฟอราบิก้าให้ได้ผลผลิตสูง”

การปลูกกาแฟอราบิก้าให้ประสบความสำเร็จและได้ผลผลิตสูง จำเป็นต้องมีความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องตั้งแต่เริ่มต้น ดังนี้

1. เลือกพื้นที่ปลูกให้เหมาะสม ได้แก่ พื้นที่สูงจากระดับน้ำทะเลมากกว่า 800 เมตร อากาศเย็น ความชื้นสัมพัทธ์สูง มีน้ำฝนเพียงพอ และเป็นดินร่วนซุย

2. คัดเลือกพันธุ์กาแฟดี ที่ให้ผลผลิตสูง คุณภาพดี ต้านทานโรคแมลง และเหมาะกับสภาพแวดล้อม

3. เพาะเมล็ดในแปลงกล้าด้วยวิธีที่ถูกต้อง ดูแลรักษาจนกล้าแข็งแรงพร้อมย้ายปลูก

4. ย้ายกล้าลงปลูกในหลุมขนาด 30x30x30 ซม. ที่เตรียมไว้ พร้อมใส่ปุ๋ยคอก ปุ๋ยเคมี และปักหลักค้ำ

5. ปลูกไม้ร่มเงาถาวร เพื่อปรับสภาพแวดล้อมในสวนกาแฟให้เหมาะสม โดยเน้นการจัดการแสงและทรงพุ่ม

นอกจากนี้ยังต้องมีการดูแลเอาใจใส่ต้นกาแฟหลังปลูกเป็นอย่างดี ทั้งการให้น้ำ ให้ปุ๋ย ตัดแต่งกิ่ง ป้องกันกำจัดโรคแมลง และเก็บเกี่ยวผลผลิตอย่างถูกวิธี เมื่อปฏิบัติได้อย่างครบถ้วนเหมาะสมแล้ว จะทำให้ได้ผลผลิตกาแฟที่สูง มีคุณภาพ สร้างรายได้ และสามารถทำการผลิตได้อย่างยั่งยืน  

แหล่งอ้างอิง : rsdb.hrdi.or.th

Facebook
Twitter
Email